โอเชียเนีย OCEANIA
โอเชียเนีย คือ เป็นเขตแดนที่ประกอบด้วยหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้
และทวีปออสเตรเลียซึ่งประกอบด้วยประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ มีพื้นที่ประมาณ 8.5
ล้านตารางกิโลเมตร ดินแดนในเขตโอเชียเนียแบ่งออกเป็น 3 เขตใหญ่ๆคือ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และประเทศหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก
ซึ่งประกอบด้วยหมู่เกาะโพลินีเซีย
หมู่เกาะไมโครนีเซีย หมู่เกาะเมลานีเซีย ทวีปออสเตรเลีย-โอเชียเนีย
เป็นกลุ่มของหมู่เกาะจำนวนมากนับพันเกาะ
หมู่เกาะโพลีนีเซีย เป็นส่วนหนึ่งของทวีปเอเชียแปซิฟิก เนื่องจากเป็นประเทศหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก เราจึงควรศึกษาทวีปนี้พอเป็นสังเขป เพื่อให้เข้าใจถึงที่มาที่ไป.
หิมะและน้ำแข็งที่ละลายลงมาจากบริเวณที่ราบสูงธิเบต เป็นแหล่งกำเนิดแม่น้ำสำคัญของเอเชียตะวันออกสองสาย คือ “แม่น้ำฮวงโห” (Huang River) และ “แม่น้ำแยงซี” (Chang River) ซึ่งเป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดในทวีปเอเชีย “ทะเลทรายโกบี” (Gobi Desert) ที่กว้างใหญ่แห่งที่ราบสูงมองโกเลียกินพื้นที่ส่วนใหญ่ของเอเชียกลาง ซึ่งลักษณะทางภูมิศาสตร์ของทะเลทรายนี้ แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับประเทศเกาะอุตสาหกรรมเล็กๆที่มีชื่อว่าญี่ปุ่น (Japan)
บริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และหมู่เกาะแปซิฟิกตั้งอยู่ในเขตร้อนใกล้เส้นศูนย์สูตร บริเวณนี้อุดมไปด้วยป่าดิบชื้น นอกจากนี้ยังมี “หมู่เกาะ” (Archipelagos) มากมาย ซึ่งเชื่อมต่อทวีปเอเชียเข้ากับทวีปออสเตรเลีย และประเทศหมู่เกาะอื่นๆในมหาสมุทรแปซิฟิก ประเทศออสเตรเลีย เป็นประเทศที่กว้างใหญ่และจัดเป็นทวีปๆหนึ่ง มีพื้นที่เป็นทะเลทรายขนาดใหญ่ “The Outback” เป็นอีกชื่อที่ใช้เรียกออสเตรเลีย ที่นี่ฝนตกน้อยมาก และประชากรส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามชายฝั่งตะวันออกประเทศนิวซีแลนด์ และประเทศหมู่เกาะโพลีนีเซีย (Polynesia) เมลานีเซีย (Melanesia) และไมโครนีเซีย (Micronesia) นั้นอยู่ไกลออกไปในมหาสมุทรแปซิฟิก
หมู่เกาะโพลีนีเซีย เป็นส่วนหนึ่งของทวีปเอเชียแปซิฟิก เนื่องจากเป็นประเทศหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก เราจึงควรศึกษาทวีปนี้พอเป็นสังเขป เพื่อให้เข้าใจถึงที่มาที่ไป.
ภูมิศาสตร์ทวีปเอเชียแปซิฟิก (The
Geography of Asia and the Pacific)
พื้นที่ของทวีปเอเชียแปซิฟิกมีขนาดประมาณหนึ่งในสามของผืนดินทั้งหมดบนโลก
ทวีปเอเชีย ซึ่งเป็นทวีปที่ใหญ่ที่สุดบนโลก
กินพื้นที่ตั้งแต่มหาสมุทรแปซิฟิกไปทางตะวันตกถึงยุโรป
และทางเหนือตั้งแต่บริเวณเส้นอาร์กติค เซอร์เคิล (Arctic
Circle) ลงไปจนถึงเส้นศูนย์สูตร (Equator) เราสามารถพบเห็นการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกได้อย่างชัดเจนในบริเวณนี้
กล่าวคือภูเขาไฟเป็นสิ่งทำให้เกิดเกาะต่างๆที่ตั้งอยู่บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก (The
Pacific Ocean) ไปจนถึงมหาสมุทรอินเดีย (Indian Ocean) ในขณะที่การปะทะกันของแผ่นเปลือกโลกสองแผ่นทำให้เกิดเทือกเขาที่สูงที่สุดในโลก
นั่นคือ เทือกเขาหิมาลัย (The Himalayas)
ทวีปยุโรปและทวีปเอเชียอยู่บนแผ่นดินผืนเดียวกัน
แต่ถูกแยกออกเป็นสองทวีป เขตแดนของทวีปเอเชียนั้นเริ่มตั้งแต่เทือกเขายูรัล (Ural
Mountains) และทะเลแคสเปียน (Caspian Sea) ส่วนเทือกเขาคอเคซัส
(Caucasus Mountains) และทะเลดำ (The Black Sea) นั้นเป็นเขตแดนอีกด้านหนึ่ง
หากตัดเขตไซบีเรียของประเทศรัสเซียออกไป
พื้นที่กว้างใหญ่นี้สามารถแบ่งออกเป็นห้าพื้นที่หลักๆที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน คือ
เอเชียตะวันตกเฉียงใต้ เอเชียกลาง เอเชียตะวันออก เอเชียใต้
และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และหมู่เกาะแปซิฟิค
เอเชียตะวันตกเฉียงใต้ประกอบไปด้วยประเทศแถบตะวันออกกลาง
The
Middle-East) และทะเลทรายที่กว้างใหญ่
แหล่งอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดถือกำเนิดขึ้นในพื้นที่ระหว่างแม่น้ำไทกริส (Tigris
River) และแม่น้ำยูเฟรติส (Euphrates River) หรือบริเวณประเทศอิรักในปัจจุบัน
แต่ผืนแผ่นดินระหว่างแม่น้ำที่อุดมสมบูรณ์ตรงนี้จัดเป็นข้อยกเว้นของภูมิภาค
พื้นที่ส่วนใหญ่ในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้มีฝนตกน้อยมาก
ทำให้การเพาะปลูกแทบเป็นไปไม่ได้เลย อย่างไรก็ตาม
ใต้ผืนทรายมีแหล่งน้ำมันดิบล้ำค่า
ซึ่งสร้างความร่ำรวยให้กับภูมิภาคนี้อย่างล้นหลาม
ถึงแม้ว่าพื้นที่กว่า 60 เปอร์เซ็นต์จะเป็นทะเลทราย แต่เอเชียกลางก็ยังมีเทือกเขาที่สลับซับซ้อน
และที่ราบที่เรียกว่า “ทุ่งหญ้าสเตปส์” (The Steppes)
ด้วย พื้นที่นี้แห้งแล้งเกินไปสำหรับพืชชนิดอื่นๆ
ยกเว้นหญ้าสั้นๆเท่านั้นที่มีชีวิตอยู่ได้ ดังนั้นผู้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้จึงใช้ทุ่งหญ้าสเตปส์เป็นที่เลี้ยงปศุสัตว์
หิมะและน้ำแข็งที่ละลายลงมาจากบริเวณที่ราบสูงธิเบต เป็นแหล่งกำเนิดแม่น้ำสำคัญของเอเชียตะวันออกสองสาย คือ “แม่น้ำฮวงโห” (Huang River) และ “แม่น้ำแยงซี” (Chang River) ซึ่งเป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดในทวีปเอเชีย “ทะเลทรายโกบี” (Gobi Desert) ที่กว้างใหญ่แห่งที่ราบสูงมองโกเลียกินพื้นที่ส่วนใหญ่ของเอเชียกลาง ซึ่งลักษณะทางภูมิศาสตร์ของทะเลทรายนี้ แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับประเทศเกาะอุตสาหกรรมเล็กๆที่มีชื่อว่าญี่ปุ่น (Japan)
เอเชียใต้ประกอบไปด้วยคาบสมุทรอินเดีย (Indian
Peninsula) ผืนดินที่ยื่นออกไปในมหาสมุทรอินเดีย
พื้นที่นี้เป็นพื้นที่มรสุม (Monsoon) หรือลมพายุแรงที่มาตามฤดูกาล
ซึ่งทำให้เกิดคลื่นแรงในมหาสมุทรและฝนตกหนัก
ภูเขาที่อยู่บนที่ราบสูงธิเบตเป็นแหล่งกำเนิดของ “แม่น้ำสินธุ”
(Indus River) และ “แม่น้ำคงคา” (Ganges
River) อารยธรรมแรกที่ของบริเวณเอเชียใต้ ก็ถือกำเนิดขึ้นตามหุบเขาใกล้แม่น้ำสองสายนี้
และในปัจจุบันก็ยังคงเป็นพื้นที่ที่มีประชากรอยู่หนาแน่นที่สุดบนโลก
บริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และหมู่เกาะแปซิฟิกตั้งอยู่ในเขตร้อนใกล้เส้นศูนย์สูตร บริเวณนี้อุดมไปด้วยป่าดิบชื้น นอกจากนี้ยังมี “หมู่เกาะ” (Archipelagos) มากมาย ซึ่งเชื่อมต่อทวีปเอเชียเข้ากับทวีปออสเตรเลีย และประเทศหมู่เกาะอื่นๆในมหาสมุทรแปซิฟิก ประเทศออสเตรเลีย เป็นประเทศที่กว้างใหญ่และจัดเป็นทวีปๆหนึ่ง มีพื้นที่เป็นทะเลทรายขนาดใหญ่ “The Outback” เป็นอีกชื่อที่ใช้เรียกออสเตรเลีย ที่นี่ฝนตกน้อยมาก และประชากรส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามชายฝั่งตะวันออกประเทศนิวซีแลนด์ และประเทศหมู่เกาะโพลีนีเซีย (Polynesia) เมลานีเซีย (Melanesia) และไมโครนีเซีย (Micronesia) นั้นอยู่ไกลออกไปในมหาสมุทรแปซิฟิก
ที่ตั้งและอาณาเขต
ทิศเหนือ จดหมู่เกาะฮาวาย
ทิศตะวันออก จดเกาะอีสเตอร์
ทิศตะวันตก จดหมู่เกาะปาเลา และเกาะนิวกินี
ทิศใต้ จดประเทศนิวซีแลนด์
และประเทศออสเตรเลีย
ลักษณะทางธรณีวิทยา
โอเชียเนียเป็นเกาะภูเขาหินใหม่
ที่มีความเปลี่ยนแปลงทางด้านธรณีวิทยาเกิดขึ้นได้เสมอ เช่น ปรากฏการณ์แผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิดเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ
โดยเฉพาะบริเวณชายขอบของมหาสมุทรแปซิฟิกในบางครั้งเกาะบางแห่งต้องจมหายอยู่ใต้ระดับน้ำทะเล
หมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกซึ่งทางตอนกลางและตอนใต้ของมหาสมุทร
แบ่งได้ 3 กลุ่ม ตามลักษณะชาติพันธุ์ และวัฒนธรรม คือ
1. กลุ่มเกาะเมลานีเซีย
ประกอบด้วยเกาะสำคัญ ได้แก่ เกาะนิวกีนี หมู่เกาะโซโลมอน หมู่เกาะนิวเฮบริดีส
หมู่เกาะนิวแคลิโดเนีย หมู่เกาะฟิจิ เป็นที่อยู่อาศัยของชนผิวดำ เป็นเกาะทวีป
เพราะเคยเป็นส่วนหนึ่งของทวีปมาก่อน
2. กลุ่มเกาะไมโครนีเซีย
เป็นหมู่เกาะเล็กๆ ที่กระจายอยู่ทางตอนกลางและทางตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก
เหนือเส้นศูนย์สูตร ได้แก่ หมู่เกาะกิลเบอร์ต หมู่เกาะมาเรียนา หมู่เกาะมาร์แชลล์
หมู่เกาะโรไลน์ เกาะนาอูรู เป็นที่อยู่อาศัยของประชากรผิวน้ำตาลคล้ายมองโกลอยด์
3. กลุ่มหมู่เกาะโพลีนีเซีย
ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิกใต้เส้นศูนย์สูตร ได้แก่
หมู่เกาะซามัว หมู่เกาะคุก หมู่เกาะตูอาโมตู หมู่เกาะตองกา ฯลฯ
เป็นที่อยู่อาศัยของประชากรชนชาติโปลินีเซีย
กลุ่มหมู่เกาะต่างๆ เหล่านี้ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก
อันเป็นเขตที่เปลือกโลกยังมีอายุน้อย ทำให้ต้องเผชิญกับแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด
และตั้งอยู่ในเขตศูนย์สูตรจึงมีอากาศร้อนชื้นตลอดปี
นอกจากนี้ยังสามารถแบ่งเป็นประเทศและดินแดนในโอเชียเนีย ซึ่งประกอบด้วย
- ออสตราเลเซีย
- เกาะนอร์ฟอล์ก
- หมู่เกาะโคโคส (คีลิง)
- เกาะคริสต์มาส
- เมลานีเซีย
- ฟิจิ
- หมู่เกาะโมลุกกะ และ นิวกินีตะวันตก
(อินโดนีเซีย)
- นิวแคลิโดเนีย
- ปาปัวนิวกินี
- หมู่เกาะโซโลมอน
- วานูอาตู
- ไมโครนีเซีย
- คิริบาส
- หมู่เกาะมาร์แชลล์
- หมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนา
- ไมโครนีเซีย
- นาอูรู
- ปาเลา
- โพลินีเซีย
-อเมริกันซามัว
-หมู่เกาะคุก
-เฟรนช์โปลินีเซีย
-ฮาวาย
-นิวซีแลนด์
-นีอูเอ
-หมู่เกาะพิตแคร์น
-ซามัว
-โตเกเลา
-ตองกา
-ตูวาลู
-วาลลิสและฟุตูนา
โอเชียเนีย นั้นมีประวัติศาสตร์ที่ค่อนข้างจะเกี่ยวเนื่องกันของประเทศแต่ละประเทศ จักรวรรดิและอาณาจักรต่างๆ ที่สำคัญในโอเชียเนีย เช่น อาณาจักรของชาวเมารี จักรวรรดิตูอิตองกา หมู่เกาะโซโลมอน
จักรวรรดิตูอิปูโลตู และจักรวรรดิตูอิมานูอา เป็นต้น
เกือบทั้งหมดเคยตกเป็นเมืองขึ้นของเจ้าอาณานิคมจากโลกตะวันตกมีทั้งประเทศอังกฤษ ประเทศฝรั่งเศส ประเทศเยอรมนี และสหรัฐอเมริกา
บางประเทศก่อกำเนิดจากผลพวงของสงคราม ทั้งสงครามระหว่างคนพื้นเมืองด้วยกันเองอย่างตองกา หรือการรวมประเทศหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ของหมู่เกาะโซโลมอน เฉพาะอย่างยิ่งการก่อเกิดของประเทศสำคัญคือออสเตรเลีย ก็เป็นผลมาจากหลังสงครามประกาศอิสรภาพในสหรัฐอเมริกายุติลง และอังกฤษมองหาแผ่นดินใหม่สำหรับการตั้งถิ่นฐานของผู้กระทำผิดแทนที่อาณานิคมในเขตแอตแลนติกเหนือ
คำ "โอเชียเนีย" ได้มาจากชื่อของ
"เปลือกโลกมหาสมุทร-Oceanic plate" ทั้งนี้ เปลือกโลกประกอบด้วยแผ่นขนาดใหญ่ 6-10 แผ่น และมีแผ่นเล็กๆ ที่ประกอบกันขึ้นหลายๆ แผ่นต่อกันเหมือนแผ่นกระเบื้อง
แผ่นเปลือกโลกเหล่านี้เรียกว่าเพลต (Plate) แบ่งเป็นเปลือกโลกทวีป-คอนติเนนเติล
เพลต (Continental plate) และเปลือกโลกมหาสมุทร-โอเชียนิก
เพลต (Oceanic plate)
ภูมิประเทศ
ภูมิประเทศของโอเชียเนียส่วนใหญ่เป็นเกาะและพืดหินปะการัง
กระทั่งแผ่นดินเกิดการยกตัว นอกจากนี้ ยังมีที่เป็นภูเขาไฟ
เทือกเขาขรุขระทุรกันดาร ที่ราบแคบๆ ป่าทึบ และทุกประเทศลอยอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก
ภูมิอากาศร้อนชื้น ยกเว้นนิวซีแลนด์ที่เป็นแบบภาคพื้นสมุทร ฝนตกสม่ำเสมอตลอดปี
ชุกมากแถบฝั่งตะวันตกของเกาะใต้ และออสเตรเลียที่แบ่งออกได้เป็น 7 เขตภูมิอากาศ
คือ ร้อนชื้น ร้อนสลับแห้ง ทุ่งหญ้าเขตร้อน ทุ่งหญ้ากึ่งทะเลทราย เมดิเตอร์เรเนียน
อบอุ่นชื้นแบบภาคพื้นสมุทร และแบบทะเลทราย
ประชากร
ประชากรส่วนใหญ่ในเขตโอเชียเนีย
แบ่งออกเป็นสองเชื้อชาติใหญ่ๆคือ เชื้อชาติยุโรป ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวอังกฤษ
อาศัยอยู่ในประเทสออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ส่วนชนชาวพื้นเมืองมี 3 กลุ่ม คือ พวกไมโครนีเซียน เมลานีเซียน และโปลินีเซียน
ซึ่งอาศัยอยู่ตามหมู่เกาะต่างๆในมหาสมุทรแปซิฟิก
เนื่องจากดินแดนแถบนี้เคยถูกปกครองโดยอังกฤษและสหรัฐอเมริกามาก่อน
ดังนั้นเกือบทุกประเทศจึงใช้ภาอังกฤษเป็นภาหลักควบคู่ไปกับภาษาท้องถิ่น
และนับถือสาสนาคริสต์ทั้งนิกายโรมันคาทอลิกโปรเตสแตนต์ และแองกลิคัน
นอกจากนี้ชนเผ่าพื้นเมืองตามหมู่เกาะต่างๆยังนับถือลัทธิภูตผีปีศาจและ
ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
ในปัจจุบัน ประเทศในภูมิภาคโอเชียเนียต่างประสบปัญหาในหลายด้าน ทั้งปัญหาด้านเชื้อชาติ ปัญหาการเมือง และปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในภูมิภาค
ปัญหาเชื้อชาติ
ปัญหาเชื้อชาติเป็นปัญหาหนึ่งของภูมิภาคโอเชียเนีย
ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยที่ดินแดนแห่งนี้เป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก
และปัญหานี้ยังนำมาซึ่งปัญหาในด้านอื่นๆด้วย
ยกตัวอย่างเช่น ปัญหาในสาธารณรัฐฟิจิ ปัญหาของฟิจิเป็นปัญหาที่เกิดมาจากความแตกต่างในด้านเชื้อชาติและวัฒนธรรมระหว่างชาว
ฟิจิ ซึงเป็นชาวพื้นเมืองเดิมกับชาวฟิจิเชื้อสายอินเดีย
ชาวอินเดียเข้ามาในฟิจิครั้งแรกในคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยเข้ามารับจ้างเป็นคนงานตัดอ้อยของชาวอังกฤษที่เข้ามาลงทุนในฟิจิ
และในที่สุดชาวอินเดียเหล่านี้ก็ได้กลายมาเป็นชาวฟิจิหลังจากที่อยู่อาศัย
เป็นเวลายาวนาน
และปัจจุบันชาวฟิจิเชื้อสายอินเดียส่วนใหญ่ควบคุมกิจการด้านการท่องเที่ยว
และอุตสาหกรรมน้ำตาล ซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศ
ในวันที่ 25 กรกฎาคม ค.ศ.1990 ได้มีการประกาศรัฐธรรมนูญฉบับแรก
ที่เอื้อประโยชน์ต่อชนพื้นเมืองเชื้อสายฟิจิ
โดยระบุให้ผู้บริหารประเทศต้องมาจากชาวฟิจิเชื้อสายพื้นเมืองเท่านั้น แต่ต่อมาใน
ค.ศ. 1997 ได้มี การแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว
และให้มีความเสมอภาคระหว่างชาวฟิจิเชื้อสายฟิจิและเชื้อสายอินเดียมากขึ้น
กรแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวนำมาซึ่งความขัดแย้งภายในประเทศฟิจิ
มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมาเฮนดรา โชดรี (Mahendra
Chauhry) ซึ่งเป็นชาวฟิจิเชื้อสายอินเดียชนะการเลือกตั้งและได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีฟิจิในวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ.1999 โดยมีราตู เซอร์ กามิเซเซ มารา (Ratu Sir Kamisese Mara) ซึ่งเป็นชาวพื้นเมืองดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
หลังนายกรัฐมนตรี โชดรี
บริหารประเทศครบ 1 ปี จอร์จ สไปต์ (George
Speight) บุตรชายของแซม สไปต์
นักการเมืองฝ่ายค้านและเป็นนักธุรกิจเชื้อสายฟิจิได้บุกเข้าไปในอาคารรัฐสภา
พร้อมด้วยพรรคพวกติดอาวุธอีก 10 คน และจับกุมนายกรัฐมนตรี
ประธานรัฐสภา รัฐมนตรี และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รวม 43
คนเป็นตัวประกัน ในวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 2000 พร้อมกับประกาศยึดอำนาจการปกครองประเทศ
และออกแถลงการณ์อ้างเหตุผลว่าเป็นการกระทำในนามของชาวฟิจิทุกคนที่ไม่ต้อง
การให้อำนาจการปกครองประเทศไปตกอยู่ในมือของชาวฟิจิเชื้อสายอินเดีย
รวมทั้งอ้างเหตุผลว่าการกระทำในครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนมาจากกองทัพฟิจิ
และประกาศล้มเลิกรัฐธรรมนูญล้มล้างอำนาจของประธานาธิบดีราตู เซอร์ กามิเซเซ มารา
และประกาศแต่งตั้งราตู ติโมชิ ซิลาโตลู(Ratu Timoci Silatolu) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากพรรคสมาคมชาวฟิจิเป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ
ในวันเดียวกันประธานาธิบดีมาราได้ออกแถลงการณ์ผ่านสถานีวิทยุกระจายเสียง
ประกาศภาวะฉุกเฉินทั่วกรุงซูวา พร้อมกับเรียกร้องให้มีการยุติการควบคุมตัวประกัน
ในระยะแรกกองทัพฟิจิยังคงวางเฉยกับเหตุการณ์ดังกล่าว
ขณะเดียวกันชาวฟิจิจำนวน 50,000 คน
ได้ชุมนุมกันบริเวณรัฐสภาเพื่อให้การสนับสนุนการรัฐประหารในครั้งนี้ ต่อมาในวันที่
29 พฤษภาคม นายพลเรือจัตวาแฟรงก์ ไบนิมารามา (Frank
Bainimarama) ผู้บัญชาการทหารของฟิจิได้เข้ายึดอำนาจซ้อนโดยได้ประกาศกฎอัยการศึก
กดดันให้สไปต์ปล่อยตัวประกัน
และได้ประกาศยกเลิกรัฐ ธรรมนูญฉบับปัจจุบันโดยได้นำเอารัฐธรรมนูญฉบับ ค.ศ. 1990
ที่ให้สิทธิเฉพาะชาวพื้นเมืองขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีขณะเดียวกันได้แต่งตั้ง ราตู
เอเปลี ไนลาติเกา (Ratu Epeli Nailatikau) อดีตนายทหาร
และนักการทูต บุตรเขยของประธานาธิบดีมารา ให้รักษาการนายกรัฐมนตรีชั่วคราว
ใน วันที่ 3กรกฎาคมปีเดียวกันได้มีการแต่งตั้งคณะรัฐบาลชุดใหม่ขึ้น
โดยมีการแต่งตั้งไลซีเนีย การาเซ (Laisenia Qarase) นักธนาคารชาวพื้นเมืองฟิจิขึ้นรักษาการแทนโชดรี
แต่ผลการแต่งตั้งก็สร้างความไม่พอใจให้แก่ผู้ก่อการ โดย เฉพาะสไปต์
เพราะไม่มีกลุ่มคนผู้ก่อการได้เข้าร่วมรัฐบาล
กองทัพฟิจิได้พยายามเจรจาและสร้างความกดดันต่อสไปต์และกลุ่มผู้ก่อการร้าย จนในที่สุดในวันที่ 13 กรกฎาคมปีเดียวกัน โชดรีและตัวประกันอื่นๆก็ได้รับการปล่อยตัว นับเป็นการยุติวิกฤตการณ์การจับตัวประกันซึ่งดำเนินมายาวนานถึง
56 วัน
และในวันเดียวกันที่ประชุมสภาผู้นำชนเผ่าพื้นเมืองฟิจิได้ร่วมลงมติแต่งตั้ง ราตู
โจเซฟา อิโลอิโล(Ratu Josefa Iloilo) ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของฟิจิถูกคว่ำบาตรทางการค้าจากกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป
ตลอดจนได้รับผลกระทบจากการระงับสิทธิการเป็นสมาชิกภาพในกลุ่มประเทศเครือจักรภพ
ปัญหาเชื้อชาติเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากการขยายอำนาจ
ของลัทธิจักรวรรดินิยมในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19-20
และเป็นปัญหาที่นำมาซึ่งความขัดแย้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคมของประเทศในภูมิภาคโอเชียเนียในปัจจุบัน
ระหว่างชนพื้นเมืองเดิมกับชนกลุ่มที่อพยพเข้ามาใหม่ เช่น ชนชาวยุโรป ชาวเอเชีย
แม้แต่ในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างออสเตรเลียและนิวซีแลนด์
อะบอริจินส์(The
Aborigines) เป็นชนพื้นเมืองของประเทศออสเตรเลีย
ชนกลุ่มนี้ได้อพยพจากคาบสมุทรมลายูเข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนออสเตรเลีย เมื่อ 38,000 ปีมาแล้ว พวกอะบอริจินส์มีหลายกลุ่ม
ในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ที่ชนผิวขาวจะอพยพเข้ามาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18-19 พวกอะบอริจินส์มีลักษณะเป็นสังคมล่าสัตว์และมีความแตกต่างระหว่างชนกลุ่ม
ต่างๆทั้งด้านภาษาและวัฒนธรรมในแต่ละท้องถิ่น
![]() |
: ชนเผ่าอะบอริจินส์(The Aborigines) |
เมื่อชาวยุโรปอพยพเข้ามาในดินแดนออสเตรเลียได้ส่งผลกระทบต่อวิถี
ชีวิตของชาวอะบอริจินส์นั้นคือ
ชาวยุโรปได้นำเอาอารยธรรมของตนเข้าไปแทนที่วัฒนธรรมของชนกลุ่มพื้นเมือง
และชาวอะบอริจินส์ต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตจากสังคมเร่ร่อนล่าสัตว์มาตั้ง
ถิ่นฐานอย่างถาวร
นอกจากนี้ชนกลุ่มนี้ยังได้รับการปฏิบัติจากชาวยุโรปที่ตั้งถิ่นฐานบางกลุ่ม
อย่างไม่เป็นธรรมอีกด้วยรวมทั้งความพยายามเผยแพร่อารยธรรมแก่ชนกลุ่มนี้ต้อง
ประสบความล้มเหลวเนื่องจากชนกลุ่มนี้ไม่อาจปรับตัวให้เข้ากับสังคมใหม่ได้
ต่อมาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 รัฐบาล ออสเตรเลียได้ให้ความสำคัญแก่กลุ่มชนพื้นเมืองมากขึ้น
เนื่องจากชนกลุ่มนี้นับวันจะลดจำนวนลงไปเรื่อยๆ
โดยรัฐบาลออสเตรเลียปรับเปลี่ยนนโยบายที่มีต่อชาวอะบอริจินส์เรื่อยมา
โดยได้รับการกระตุ้นจากหมอสอนศาสนาคริสต์ใน ค.ศ. 1939 และ1945 รัฐบาลได้มอบสิทธิชน
ชาวอะบอริจินส์เป็นพลเมืองออสเตรเลียและให้ความคุ้มครองในสิทธิขั้นพื้นฐาน
ในด้านต่างๆส่งผลให้ชาวอะบอริจินส์มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น
ในปัจจุบันชนเผ่าอะบอริจินสาบงกลุ่มได้พยายามปรับวิถีชีวิตของตน
ให้เข้ากับชนผิวขาว ขณะที่บางกลุ่มยังคงรักษาวิถีชีวิตแบบดังเดิมไว้ต่อไป
รัฐบาลออสเตรเลียได้ให้ความคุ้มครองชนเผ่าอะบอริจินส์ทั้งสองกลุ่มอย่างเท่า
เทียมกัน เช่น ใน ค.ศ. 1976
รัฐบาลออสเตรเลียได้ออกพระราชบัญญัติสิทธิความเป็นเจ้าของดั้งเดิมของเผ่า เป็นต้น
ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1990
ประชากรชนเผ่าอะบอริจินส์มีจำนวนประมาณ 30,000 คน
นอก จากนี้
ประเทศออสเตรเลียยังเป็นสังคมที่มีหลายเชื้อชาติ โดยในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 สังคม ออสเตรเลียจะมีชนชาติอังกฤษเป็นชนชาติหลัก
ตั้งแต่ช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19
ประเทศออสเตรเลียมีผู้อพยพเข้ามาทำงานเป็นจำนวนมาก
โดยเฉพาะผู้อพยพจากเอเชียใต้และยุโรปใต้ ในตอนต้นของสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 สังคมออสเตรเลียเริ่มประกอบด้วยชนเชื้อชาติอื่นๆ มากขึ้น
ชนชาติที่อพยพเข้ามาใหม่ เช่น ชาวเอเชีย ชาวยุโรปใต้
ซึ่งมักมีขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันจากชนชาวอังกฤษในออสเตรเลีย
ส่งผลให้เกิดความแตกแยก
และกีดกันซึ่งกันและกันจนกลายเป็นความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์กัน
รัฐบาลออสเตรเลียต้องบัญญัติกฎหมายออกมาสกัดกั้นพวกอพยพ
เนื่องจากรัฐบาลออสเตรเลียต้องการเพิ่มจำนวนประชากรของประเทศให้มากขึ้น
ประกอบกับทัศนคติเรื่องเชื้อชาติเปลี่ยนแปลงไปในทางยอมรับความหลากหลายใน
ด้านเชื้อชาติมากขึ้น ส่งผลให้ในปัจจุบัน
สังคมออสเตรเลียจึงประกอบด้วยเชื้อชาติต่างๆ
มากมายหลายเชื้อชาติอยู่ร่วมกันโดยปกติ ถึงแม้ออสเตรเลียจะมีกลุ่มการเมืองขวาจัด
เช่น พรรควันเนซัน (One Nation Party) ซึ่งมีนโยบายชาตินิยมก็ตาม
แต่ก็ไม่ได้รับความนิยมจากชาวออสเตรเลียในปัจจุบัน
ส่วนนิวซีแลนด์ก็ประสบปัญหาช่องว่างทางด้านเศรษฐกิจ
สังคม ระหว่างชนเผ่าเมารีซึ่งเป็นชาวพื้นเมืองกับชาวยุโรป นอกจากนี้ ชนชาวเมารีกำลังเผชิญปัญหาความสูญเสียเอกลักษณ์ของตนเองไป
ซึ่งนับเป็นปัญหาด้านเชื้อชาติที่สำคัญในประเทศนิวซีแลนด์
ปัญหาการเมือง
ปัญหาการเมืองของ
ประเทศในภูมิภาคโอเชียเนียมีหลายประการด้วยกัน
เนื่องจากในภูมิภาคนี้มีทั้งประเทศที่มีการพัฒนาการทางการเมืองในระบอบ ประชาธิปไตยเป็นอย่างดี
เช่น ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ และ
กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา
ประเทศเหล่านี้เคยเป็นเมืองขึ้นของชาติตะวันตกมาแล้วทั้งสิ้น
1.ปัญหาการแทรกแซงของชาติตะวันตก
ประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาคโอเชียเนียเคยอยู่ภายใต้การปกครองของชาติตะวันตก
แม้แต่ในปัจจุบันดินแดนบางแห่งยังคงเป็นดินแดนอาณานิคมอยู่เช่น
ดินแดนดปลินีเซียของฝรั่งเศส ( French Polynesia) หมู่เกาะอเมริกันซามัว
(American Samoa) เป็นต้น
หมู่เกาะบางแห่งมีทรัพยากรแร่ธาตุที่สำคัญอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น
หมู่เกาะนิวแคลีโดเนีย ( New Caledonia ) ของ ฝรั่งเศสเป็นแหล่งแร่นิกเกิลที่ใหญ่ที่สุดแหล่งหนึ่งของโลก
ทำให้ฝรั่งเศสไม่อาจให้เอกราชกับดินแดนแห่งนี้ได้
ทั้งชาวพื้นเมืองดั้งเดิมเมลานีเซียได้เรียกร้องเอกราชจากฝรั่งเศส นอกจากนี้
ชนกลุ่มที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นบานใหม่ เช่น ชาวยุโรป ชาวเอเชีย ชาวโปลินีเซีย ก็ต้องการอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสต่อไป
เนื่องจากกลุ่มชนเหล่านี้เกรงที่จะสูญเสียสิทธิบางประการแก่ชาวพื้นเมือง
หลังได้รับเอกราช
ปัญหาการเมืองของนิวแคลีโดเนียจึงกลายเป็นปัญหาระหว่างเชื้อชาติด้วย ใน ค.ศ. 1998 รัฐบาลฝรั่งเศสได้ทำความตกลงกับนิวแคลีโดเนีย โดยจะให้อำนาจแก่ดินแดนอาณานิคมแห่งนี้ในการปกครองตนเองมากขึ้น
นอกจากนี้
ดินแดนภูมิภาคโอเชียเนียยังเป็นดินแดนที่สร้างความตึงเครียดแห่งหนึ่ง
เนื่องจากประเทศมหาอำนาจต่างๆ
มักใช้ภูมิภาคที่อยู่ห่างไกลแห่งนี้เป็นสถานที่ทำการทดลองอาวุธร้ายแรงต่างๆ เริ่มตั้งแต่สหรัฐอเมริกาได้ทำการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ที่เกาะบีกีนีใน
มหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ไน ค.ศ. 1995
ท่ามกลางกระแสต่อต้านจากชาวโลก
2.ปัญหาการก่อการร้ายประเทศในภูมิภายโอเชียเนียมีความสัมพันธ์อย่างมากกับชาติมหาอำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งออสเตรเลียได้สร้างความเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกากับ
อังกฤษอย่างแน่นแฟ้นตลอดมา
ออสเตรเลียได้เข้าร่วมรบกับสหรัฐอเมริ่กาในการต่อต้านญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลก
ครั้งที่สอง ในสงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม สงครามอัฟกานิสถาน
และล่าสุดในสงครามอิรักเมื่อ ค.ศ. 2003
แต่การที่ออสเตรเลียเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกาและ
อังกฤษในการทำสงครามทำให้ขบวนการก่อการร้ายที่ต่อต้านสหรัฐอเมริกามอง
ออสเตรเลียเป็นประเทศเป้าหมายในการก่อวินาศกรรมไปด้วย
เช่นเดียวกับชาติพันธมิตรของสหรัฐอเมริกาชาติอื่นๆ
ดังเช่นเหตุการณ์ก่อวินาศกรรมสถานเริงรมย์แห่งหนึ่งบนเกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย
เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ. 2002 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตถึง 202 คน บาดเจ็บกว่า 300 คน ในจำนวนนี้มีนักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียจำนวน 88
คนรวมอยู่ด้วย ขบวนการที่ปฏิบัติการก่อวินาศกรรมดังกล่าว คือ
ขบวนการเจมาอิสลามมิยาห์ (Jemaah Islamiyah) ซึ่งเป็นพันธมิตรกับกลุ่มขบวนการอัลเคดาห์เหตุการณ์การก่อวินาศกรรมดังกล่าว
จึงเป็นการมุ่งโจมตีออสเตรเลียยซึ่งเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา
ปัญหาการก่อการร้ายจึงกลายเป็นปัญหาสำคัญขงภูมิภาคโอเชียเนียไปด้วย
ปัญหาความแตกต่างทางเศรษฐกิจ
1.การเกษตร ในภูมิภาคโอเชียเนีย
แหล่งเกษตรกรรมที่สำคัญอยู่ในประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์
ในการผลิตทางด้านการเกษตรทั้งสองประเทศมีการใช้เทคโนโลยีทางด้านการเกษตรกัน
อย่างแพร่หลาย
โดยเฉพาะประเทศออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีเทคโนโลยีทางด้านเกษตรกรรมที่ก้าว
หน้ามากที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง สินค้าส่งออกมีทั้งพืชผลทางการเกษตร
ผลิตภัณฑ์จากการเลี้ยงสัตว์ทั้งโคนม โคเนื้อ และแกะ
ภาคเกษตรกรรมถือเป็นภาคเศรษฐกิจที่สำคัญของออสเตรเลียและนิวซีแลนด์
ส่วนประเทศหมู่เกาะต่างๆ
ในมหาสมุทรแปซิฟิกยังคงมีลักษณะการผลิตทางด้านเกษตรกรรมเป็นแบบยังชีพ
ยังไม่มีการพัฒนาทางด้านการผลิตที่ทันสมัย รวมทั้งประเภทของผลิตผลทางเกษตรกรรมยังมีลักษณะที่เหมือนกัน
เช่น ผลิตภัณฑ์จากมะพร้าว ปลา พืชผลเมืองร้อน
2.อุตสาหกรรม ชาวออสเตรเลียร้อยละ 25 ทำงาน ด้านอุตสาหกรรม เกี่ยวกับการผลิตเครื่องจักรกล ผลิตรถยนต์
เครื่องมือทางการเกษตร เคมีภัณฑ์ การทอผ้า การต่อเรือ อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อาหารสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์จากนม เป็นต้น
ส่วนประเทศหมู่เกาะอื่นๆในภูมิภาคโอเชียเนีย
การอุตสาหกรรมมีน้อยมากและมักเป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือน เช่น การแกะสลักไม้
การทำเนื้อมะพร้าวตากแห้ง การพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรมยังคงล้าหลังเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ
ในด้านการทำเหมืองแร่ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศออสเตรเลีย
ได้แก่ การทำเหมืองแร่บอกไซต์ เหล็ก ถ่านหิน ยูเรเนียม ทองแดง สังกะสี
เหมืองแร่กระจายอยู่ทั่วประเทศ
แร่ที่ขุดได้เกือบทั้งหมดจะนำมาเป็นวัตถุดิบใช้ภายในประเทศ
นอกจากนี้ก็มีการทำเหมืองถ่านหินในนิวซีแลนด์ เหมืองทองคำ ทองแดง ในปาปัวนิวกินี
เหมืองฟอสเฟตในหมู่เกาะโซโลมอน และนาอูรู เหมืองนิกเกิลในฟิจิ
3.การค้า
การค้านอกภูมิภาคส่วนมากเป็นการค้าระหว่างออสเตรเลียกับนิวซีแลนด์
กับประเทศอื่นๆในเครือจักรภพด้วยกัน โดยเฉพาะกับอังกฤษ
นอกจากนี้ยังมีการค้ากับประเทศต่างๆในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ญี่ปุ่น
สหรัฐอเมริกา และประเทศอื่นๆ
โดยสินค้าส่งออกส่วนใหญ่มักเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสัตว์ เช่น เนื้อสัตว์ หนังสัตว์
ผ้าขนสัตว์ นม เนย และน้ำตาล เครื่องจักรกลทางการเกษตร เยื่อกระดาษ ปูนซีเมนต์
ผลไม้ ข้าวสาลี ส่วนสินค้าเข้ามักเป็นวัตถุดิบ เช่น สินแร่ เครื่องจักร รถยนต์
ปุ๋ยเคมี เป็นต้น
ปริมาณการค้าของทั้งสองประเทศมีสูงกว่าประเทศอื่นๆในภูมิภาคโอเชียเนียทั้ง หมด
นอกจากประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์
แล้ว
ประเทศอื่นๆในภูมิภาคโอเชียเนียยังคงมีการค้า ขายกับต่างประเทศค่อนข้างต่ำ
และมีอัตราการขาดดุลการค้ากับต่างประเทศค่อนข้างสูง
เนื่องจากสินค้านำเข้าส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูงจำพวกอุปกรณ์เครื่อง จักร
อาหาร สินค้าอุปโภคและบริโภค ขณะที่สินค้าส่งออกเกือบทั้งหมดเป็นสินค้าทางการเกษตร
การประมง แร่ธาตุซึ่งเป็นสินค้าไม่กี่ชนิดที่มีมูลค่าต่ำ และมีราคาที่ไม่แน่นอนในตลาดโลก
ประเทศในภุมิภาคนี้จึงพยายามพัฒนาเศรษฐกิจด้านอื่นๆขึ้นมา เช่น ภาคการท่องเที่ยว
การที่ประเทศในภูมิภาคโอเชียเนียมีการพัฒนาในเศรษฐกิจที่ไม่เท่าเทียมกันทำให้รายได้ของประชากรแต่ละประเทศมีความเหลื่อมล้ำกันด้วย เช่น ประชาชนของประเทศออสเตรเลียมีรายได้เฉลี่ยต่อหัว
24,630 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี
ซึ่งเป็นประเทศที่มีระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่สูงมากประเทศหนึ่ง
เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศปาปัวนิวกินีในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ประชากรของ
ประเทศมีรายได้เฉลี่ยต่อหัว 2,450 ดอลลาร์สหรัฐต่อ ปี หรือประเทศหมู่เกาะโซโลมอล
ประชากรของประเทศมีรายได้เฉลี่ยต่อหัว 1,910
ดอลลาร์สหรัฐต่อปี
แสดงให้เห็นถึงระดับการพัฒนาเศรษฐกิจที่ต่างกันของประเทศในภูมิภาคนี้
ในปัจจุบันประเทศในภูมิภาคโอเชียเนียได้รับการช่วยเหลือในด้าน
ต่างๆโดยฉพาะในด้านการพัฒนาประเทศทั้งจากประเทศที่เคยเป็นเจ้าอณานิคมและจาก
ประเทศที่พัฒนาแล้ว คือ ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ เช่น ใน ค.ศ.2003-2004
ออสเตรเลียได้จัดสรรงบประมาณมุ่งเน้นให้การช่วยเหลือทางด้านการพัฒนาต่างๆ
แก่ประเทศในภูมิภาคนี้เป็นจำนวนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์เพื่อให้ภูมิภาคโอเชียเนียมีระดับการพัฒนาที่สูงขึ้น